“จะใช้บริการขนส่งเจ้าไหนดี” เชื่อว่าคำถามนี้ต้องเคยอยู่ในใจของคนทำธุรกิจออนไลน์กันมาบ้างใช่ไหมค่ะ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้า หรือผู้ประกอบการ SME ก็ตาม เพราะในยุคนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “บริษัทขนส่ง” ก็คือหนึ่งในพาร์ทเนอร์ที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ธุรกิจของเราเติบโต แต่พอจะเลือกใช้จริง ๆ ก็อาจจะเริ่มงง ๆ ได้เหมือนกัน
ก็เพราะตอนนี้มีผู้ให้บริการขนส่งในไทยเยอะมาก ๆ เลยนะคะ ซึ่งแต่ละเจ้าก็มีจุดเด่น จุดแข็งแตกต่างกันไป ในบทความนี้น้องทรายเลยจะมาช่วยจัดระเบียบข้อมูลทั้งหมด แบ่งประเภทให้เห็นภาพชัด ๆ พร้อมแนะนำวิธีเลือกให้ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณมากที่สุดค่ะ
สารบัญ
Toggleบริษัทขนส่งในไทยแบ่งได้กี่ประเภท แต่ละประเภทมีเจ้าไหนบ้าง
ก่อนที่เราจะไปดูรายชื่อบริษัทขนส่งในไทยแต่ละเจ้า ทรายอยากจะชวนมาทำความเข้าใจภาพรวมกันก่อนนะคะว่าจริง ๆ แล้วธุรกิจของเราจัดอยู่ในกลุ่มไหน เพื่อให้คุณได้เลือกใช้บริการขนส่งไทยได้อย่างตรงจุดที่สุด ถ้าจะให้แบ่งประเภทขนส่งหลัก ๆ แล้ว สามารถจะแบ่งได้ 3 กลุ่มใหญ่ดังนี้ค่ะ
กลุ่มขนส่งพัสดุทั่วไป (E-commerce & Parcel Delivery)
กลุ่มแรกนี้เป็นกลุ่มที่เราคงคุ้นเคยกันดีที่สุด เหมาะสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ส่งของชิ้นเล็กถึงกลางเป็นหลัก อย่างเช่น เสื้อผ้า, เครื่องสำอาง หรือสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป จุดเด่นของขนส่งกลุ่มนี้คือมีความเร็วในการขนส่งเพราะมีเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ แล้วก็มีระบบ Tracking ให้ลูกค้าติดตามสถานะการขนส่งได้ตลอดเวลา
รายชื่อบริษัทขนส่งในกลุ่มนี้ได้แก่
- ไปรษณีย์ไทย: ถือเป็นผู้ให้บริการที่ทุกคนรู้จักกันดี มีเครือข่ายที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศไทย และยังมีบริการขนส่งระหว่างประเทศด้วยนะคะ
- Kerry Express: เป็นผู้ให้บริการที่มีความโดดเด่นเรื่องบริการเสริมที่หลากหลายค่ะ ไม่ว่าจะเป็นบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) บริการแพ็กสินค้า หรือแม้กระทั่งบริการส่งด่วนพิเศษ
- Flash Express: รองรับการจัดส่งพัสดุขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักสูงสุดได้ถึง 50 Kg. แล้วก็ยังมีบริการเสริมอย่างการเรียกรถเข้ารับพัสดุถึงหน้าบ้านได้อีกด้วยค่ะ
- J&T Express: เป็นผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุแบบ Door-to-Door ซึ่งมีเครือข่ายที่ครอบคลุมในระดับโลกเลยทีเดียวค่ะ
- SCG Express: เป็นบริษัทในเครือของ SCG Logistics ที่มุ่งเน้นการจัดส่งพัสดุและสินค้าแบบเร่งด่วน มีศูนย์กระจายสินค้าอยู่ทั่วประเทศ
- BEST Express: มีจุดเด่นที่สามารถรับ-ส่งพัสดุขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักสูงสุดถึง 110 Kg. โดยสามารถให้เข้ามารับพัสดุฟรีถึงหน้าบ้านได้เลยค่ะ
2. กลุ่มขนส่งของชิ้นใหญ่ ของหนัก (Heavy & Bulky Items)
ส่วนกลุ่มที่สองนี้จะเน้นบริการที่เฉพาะทางมากขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง เหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าที่มีขนาดใหญ่หรือน้ำหนักเกินกว่าที่ขนส่งพัสดุปกติทั่วไปจะรับได้ อย่างเช่น เฟอร์นิเจอร์, เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสินค้าที่มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งต้องใช้รถบรรทุกขนส่งขนาดใหญ่และทีมงานที่มีความชำนาญในการยกย้ายสิ่งของนั้น ๆ
รายชื่อบริษัทขนส่งในกลุ่มนี้ได้แก่
- Nim Express: มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดส่งพัสดุที่มีขนาดใหญ่ รวมไปถึงมีบริการจัดส่งแบบควบคุมอุณหภูมิสำหรับสินค้าที่ต้องการความเย็นด้วยค่ะ
- Deliveree: เป็นแอปพลิเคชันสำหรับส่งของตามความต้องการ สามารถเรียกรถเข้ามารับของได้ภายใน 1 ชั่วโมง มีประเภทรถให้เลือกหลากหลายมาก ๆ
- Inter Express Logistics: ถือว่าเป็นมืออาชีพด้านการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิโดยเฉพาะเลยค่ะ มีบริการทั้งแบบแช่เย็นในอุณหภูมิ 2-8 องศา และแช่แข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า -15 องศา
- Makesend: ให้บริการส่งพัสดุภายในวันเดียวเฉพาะในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยจะเข้ารับพัสดุในช่วงเช้าและทำการจัดส่งให้ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันค่ะ
3. กลุ่มขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (International Shipping)
และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มผู้ให้บริการนำเข้า-ส่งออกระหว่างประเทศโดยเฉพาะ กลุ่มนี้จะไม่ได้เน้นแค่การขนส่งจากจุด A ไป B เท่านั้นนะคะ แต่จะครอบคลุมการขนส่งแบบครบวงจร ตั้งแต่การรับสินค้าจากประเทศต้นทาง ครอบคลุมไปถึงการจัดการเอกสารที่ซับซ้อน การดำเนินพิธีการศุลกากร (Customs Clearance) ทั้งฝั่งต้นทางและปลายทาง ขนส่งกลุ่มนี้เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศอย่างเช่นจากประเทศจีนโดยตรงเลย
สำหรับ 1688Shipping.com ถือว่าเป็นบริษัทขนส่งในกลุ่มนี้ โดยเรามีประสบการณ์การให้บริการชิปปิ้งที่เชี่ยวชาญเส้นทางจีน-ไทยโดยเฉพาะ ซึ่งเราจะช่วยจัดการเรื่องที่ซับซ้อนทั้งหมด ตั้งแต่การประสานงานกับโรงงานในจีน การจัดการเอกสาร ไปจนถึงการขนส่งมาถึงไทย ทำให้ได้รับความสะดวกสบายมากกว่าและควบคุมต้นทุนได้ดีกว่าค่ะ
ปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องคิดก่อนเลือกบริษัทขนส่งในไทยให้ธุรกิจของคุณ
หลังจากที่เราได้เห็นภาพรวมและได้ทำความรู้จักบริษัทขนส่งกลุ่มในต่าง ๆ กันไปแล้ว ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า “จะใช้เกณฑ์อะไรมาตัดสินใจเลือกให้เหมาะกับธุรกิจของเราที่สุด” ทรายเลยสรุปมาให้เป็น 4 ประเด็นหลัก ๆ ที่อยากให้ลองนำไปคิดตามกันดูนะคะ ได้แก่ ขนาดและน้ำหนักของสินค้า, ความเร็วใจการจัดส่งที่ต้องการ, พื้นที่ให้บริการ และ บริการเสริมอื่น ๆ ทีนี้มาดูกันว่าแต่ละปัจจัยจะต้องมีข้อพิจารณาอะไรบ้างเรียงตามลำดับดังนี้
ขนาดและน้ำหนักของสินค้า ถือเป็นตัวกรองแรกเลยค่ะ ลองดูว่าสินค้าในร้านของคุณเป็นแบบไหน ถ้าเป็นของชิ้นเล็กหรือมีน้ำหนักเบา ก็สามารถเลือกใช้กลุ่มขนส่งพัสดุทั่วไปได้เลย แต่ถ้าคุณขายของชิ้นใหญ่อย่างเฟอร์นิเจอร์ ก็ต้องมองหาผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญด้านของใหญ่โดยเฉพาะ ซึ่งการใช้ขนาดและน้ำหนักสินค้าเป็นตัววัด ก็จะช่วยตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่ออกไปได้เลยใช่ไหมค่ะ
ความเร็วในการจัดส่งก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ลูกค้าใช้ตัดสินใจซื้อของจากร้านของคุณนะคะ ลองพิจารณาดูว่าธุรกิจของคุณต้องการความเร็วระดับไหนในการจัดส่ง เช่น ต้องส่งของถึงมือลูกค้าใน 1-3 วันเป็นมาตรฐาน หรือต้องการบริการส่งด่วนภายในวันเดียวสำหรับลูกค้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล การเลือกผู้ให้บริการที่ตอบโจทย์เรื่องความเร็วในการจัด ก็จะช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าของคุณได้ค่ะ
พื้นที่ให้บริการก็เป็นสิ่งต้องคำนึงถึงก่อนจะตัดสินใจเลือกส่งของกับเจ้าไหน ดังนั้นอย่าลืมตรวจสอบพื้นที่ให้บริการของการขนส่งของเค้าก่อนนะคะ โดยเฉพาะถ้าคุณมีลูกค้าอยู่ต่างจังหวัดหรือในพื้นที่ค่อนข้างห่างไกล ควรต้องเลือกบริษัทที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสินค้าจะถูกส่งไปถึงมือลูกค้าทุกคนได้อย่างไม่มีปัญหาค่ะ
บริการเสริมอื่น ๆ ที่บริษัทขนส่งมีเสริมให้ เพื่อจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ทั้งเราและลูกค้าค่ะ ซึ่งบริการยอดนิยมที่ร้านค้าออนไลน์ขาดไม่ได้เลยก็คือ บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) นอกจากนี้ยังจะมีในเรื่องของการรับประกันสินค้าในกรณีที่เกิดความเสียหายจากการจัดส่ง หรือมีระบบแจ้งเตือนสถานะพัสดุ ซึ่งบริการเหล่านี้ก็เป็นจุดสำคัญที่ใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกบริษัทขนส่งได้เช่นกันค่ะ
นำเข้าสินค้าจากจีน เลือกบริษัทขนส่งที่เชี่ยวชาญโดยตรงอย่าง 1688Shipping.com
แม้ว่าในไทยเราจะมีบริษัทขนส่งเก่ง ๆ ที่ให้บริการในประเทศอยู่มากมาย แต่ถ้าหากว่าธุรกิจหลักของคุณคือการนำเข้าสินค้าจากจีนโดยตรงแล้วล่ะก็ การเลือกใช้บริการกับชิปปิ้งที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจะตอบโจทย์ได้ดีกว่ามาก ๆ เลยค่ะ เพราะว่ากระบวนการนำเข้าไม่ได้มีแค่การขนส่ง แต่ยังรวมถึงการติดต่อประสานงานกับโรงงานในจีน, การจัดการเอกสารนำเข้าที่ซับซ้อน, และการดำเนินพิธีการศุลกากร ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้ต้องการความรู้และประสบการณ์โดยตรง ซึ่ง 1688Shipping.com สามารถเข้ามาเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของคุณในเรื่องนี้ได้ค่ะ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ขนส่งเจ้าไหนรับส่งของชิ้นใหญ่ได้บ้าง
จากในลิสต์ที่แนะนำไป บริษัทที่เชี่ยวชาญการส่งของชิ้นใหญ่ ของหนักโดยเฉพาะก็คือกลุ่มที่ 2 ค่ะ อย่างเช่น Nim Express, Deliveree หรือ BEST Express ซึ่งจะมีทั้งยานพาหนะและทีมงานที่พร้อมสำหรับสินค้าขนาดใหญ่โดยเฉพาะเลยค่ะ แต่ยังไงก็แนะนำให้ตรวจสอบเงื่อนไขกับแต่ละบริษัทโดยตรงอีกครั้งนะคะ
ส่งของจากจีนมาไทยปกติใช้เวลากี่วัน
ระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับรูปแบบการขนส่งที่เราเลือกค่ะ โดยหลัก ๆ เลยจะมี 2 รูปแบบคือ ทางเรือจะใช้เวลาประมาณ 10-20 วัน เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่ที่ไม่รีบมากและต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนทางรถจะเร็วกว่า โดยใช้เวลาประมาณ 5-10 วัน เหมาะกับสินค้าที่ต้องการความรวดเร็ว ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวยังไม่รวมขั้นตอนการดำเนินพิธีการศุลกากรนะคะ